วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ DRU MODEL

DRU Model คืออะไร
           D คือการวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้จะนำไปสู่ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
           R คือขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้จะนำไปสู่ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
           U คือการตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด UDL เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้จะนำไปสู่ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้

หลักการ DRU Mode
           1. หลักปรัชญาการสอน ใช้หลักปรัชญาการสอนตามแนวคิด ทฤษฎีสรรค์นิยม
           2. การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ( learner centered learning) การเรียนรู้โดยใช้การวิจัย เป็นฐานะ และการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน (cooperative learning)
           3. การประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง (authentic assessment) และกำหนดคุณภาพตามแนวคิด SOLO Taxonomy ร่วมกับแนวคิดกำรออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสำกล (Universal Design for Learning and Assessment)

DRU Model ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
          ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และกำหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นำเสนอเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ
                 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs)
                 2) การกำหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives)
                 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content)
                 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content)
                 5) การเลือกประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences)
               6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษาสามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกำหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้วจึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมายดังกล่าว
           ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ในการกำกับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทำความเข้าใจข้อมูลใหม่ทำให้นักศึกษามีการรู้คิด (meta cognition) และกำกับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ
                        1) วิเคราะห์ปัญหา
                        2) วางแผนแก้ปัญหา
                        3) จัดกิจกรรมแก้ปัญหา
                        4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล
                        5) สรุปผลการแก้ปัญหา
             ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยันความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกำกับติดตามโดยการกำกับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน

ตารางเปรียบเทียบการสอนแบบต่างๆ

ตารางเปรียบเทียบแผนแบบ สืบเสาะหาความรู้ 5e กับแผนแบบ YPF
วันที่ 9-20 .2560
พัฒนารูปแบบการสอน
แผนแบบสืบเสาะหาความรู้
แผนแบบ YPF
เป็นเทคนิคหรือกลวิธีอย่างหนึ่งในการจัดให้เกิดการเรียนรู้เนื้อหาบางอย่างของวิชาวิทยาศาสตร์ โดยกระตุ้นให้นักเรียนมีความอยากรู้อยากเห็น เสาะแสวงหาความรู้โดยการถามคำถาม และพยายามค้นหาคำตอบให้พบด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังให้ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นวิธีการเรียนโดยการแก้ปัญหาจากกิจกรรมที่จัดขึ้น และใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการทำกิจกรรม ซึ่งปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่นักเรียนเผชิญแต่ละครั้ง จะเป็นตัวกระตุ้นการคิดกับการสังเกตกับสิ่งที่สรุปพาดพิงอย่างชัดเจน ประดิษฐ์ คิดค้น ตีความหมายภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด การใช้วิธีการอย่างชาญฉลาดสามารถทดสอบได้ และสรุปอย่างมีเหตุผล
Y=Your Identify คือ การศึกษาความรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีจิตวิทยาศาสตร์
P=Praxis/Pratice คือ เสาะหาสืบค้น เพื่อบรรลุกิจกรรม โดยมีภาระงาน รู้อะไร สามารถทำอะไรได้
F=Formative evaluation คือ ตรวจสอบทบทวนตัวเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน ประเมินตนเองในใบความรู้

สรุป

แผนแบบ สืบเสาะหาความรู้ส่งเสริมให้นักเรียนสืบค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง แต่แผนแบบ YPF ส่งเสริมผู้เรียนได้ครบทุกด้าน ทั้งความรู้ กระบวนการ จิตวิทยาศาสตร์ สืบค้นหาความรู้มีภาระงานและก็ผู้เรียนได้มีการประเมินภาระงานตัวเองด้วย